วันจันทร์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

สรุปผลการสำรวจปัญหาขยะและข้อเสนอแนวทางแก้ไขต่ออาจารย์ผู้สอนรายวิชา ๐๐๓๕๐๐๑ หนึ่งหลักสูตรหนึ่งชุมชน

ทีมผู้ประสานงานรายวิชา ๐๐๓๕๐๐๑ หนึ่งหลักสูตรหนึ่งชุมชน ลงพื้นที่สำรวจปัญหาขยะในพื้นที่ชุมชนมหาวิทยาลัย วิทยาเขต ม.ใหม่ ในช่วงเดือนที่ผ่านมา เพื่อนำเสนอสภาพปัญหาขยะต่ออาจารย์ผู้สอนฯ เพื่อพิจารณาหามาตรการร่วมกันในการแก้ปัญหาร่วมกันโดยใช้การจัดการเรียนรู้ของรายวิชาเป็นกลไกขับเคลื่อน

๑) คำนิยาม ชุมชนมหาวิทยาลัย

  • ชุมชนมหาวิทยาลัย หมายถึง กลุ่มคนทุกกลุ่ม คนทุกคน ที่อาศัยหรือมีกิจวัตรประจำอยู่ในพื้นที่มหาวิทยาลัยและชุมชนรอบ ๆ มหาวิทยาลัย 
    • กลุ่มคนทั้งหมดทั้งภายในมหาวิทยาลัย ได้แก่ นิสิตและบุคลากรของมหาวิทยาลัย และกลุ่มคนในชุมชนรอบๆ มหาวิทยาลัย ได้แก่ ชุมชนในเขตพื้นที่เทศบาลตำบลขามเรียงและชุมชนเทศบาลตำบลท่าขอนยาง  และรวมถึงประชากรแฝงทั้งหมดที่เข้ามาอาศัยร่วมกิจกรรมกัน
๒) ปริมาณการก่อขยะ

  • ชุมชนมหาวิทยาลัยทั้งหมด ผลิตขยะต่อวัน ประมาณ ๕๐ ตัน หรือ ๕๐,๐๐๐ กิโลกรัมต่อวัน (อัตราคำนวณเฉลี่ยทั่วไป คือ คนหนึ่งคนจะผลิตขยะประมาณ ๑ กิโลกรัมต่อวัน)
    • ชุมชนภายในมหาวิทยาลัย ประมาณ ๕-๑๐ ตันต่อวัน 
    • ชุมชนเทศบาลท่าขอนยาง ประมาณ ๒๐ - ๓๐ ตันต่อวัน 
    • ชุมชนเทศบาลขามเรียง ประมาณ ๑๐-๒๐ ตัน 
  • การเก็บขนขยะต่อวันอยู่ที่ประมาณ ๒๐ ตัน  นั่นคือขยะเหลือที่อาจสะสมไปเรื่อย ๆ วันละ ๓๐ ตัน
    • มหาวิทยาลัย เก็บขนได้ประมาณ ๕ ตันต่อวัน
    • เทศบาลท่าขอนยาง เก็บขนได้ประมาณ ๑๐ ตันต่อวัน
    • เทศบาลขามเรียง เก็บขนได้ประมาณ ๕ ตันต่อวัน 
  • ขยะที่เก็บขนจะไปทิ้งที่บ่อขยะบ้านหนองปลิง ต.หนองปลิง อ.เมือง จ.มหาสารคาม 
    • บ่อขยะห่างจากชุมชนมหาวิทยาลัยประมาณ ๒๕ กิโลเมตร 
    • มีค่าธรรมเนี่ยมในการทิ้งขยะตันละ ๔๐๐ บาท 
    • ขยะที่หนองปลิงมีพื้นที่เพียง ๔๙ ไร่ กำลังจะเต็มพื้นที่ ปัจจุบันรับขยะวันละ ๙๐ ตันเป็นขยะจากชุมชนเทศบาลเมืองมหาสารคาม ๖๐ ตันต่อวัน และขยะจากชุมชนมหาวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยราชภัฎอีกประมาณ ๓๐ ตัน 
    • เนื่องจากพื้นที่กำลังจะเต็มแล้ว  ทางเทศบาลเมืองฯ จึงจำกัดให้ชุมชนมหาวิทยาลัยไปทิ้งที่บ่อขยะหนองปลิงเพียงวันละ ๒ รอบ เท่านั้น 
๓) สาเหตุของปัญหา
  • คนในชุมชนมหาวิทยาลัย ไม่มีจิตสำนึกในการจัดการขยะ  ... ไม่แยกขยะเลย  
    • หอพัก คอนโดฯ รวมกว่า ๗๐๐ แห่ง เกือบทั้งหมดไม่มีการแยกขยะ 
    • ร้านอาหาร ห้างร้าน โดยเฉพาะร้านขายเนื้อย่างเกาหลี ร้านกาแฟ ก่อขยะวันละหลาย ๆ ตัน 
    • ขยะในชุมชนรอบ ๆ มหาวิทยาลัย นำขยะจากหมู่บ้านมาทิ้งด้วย 
  • การเก็บขนทำได้จำกัด เนื่องจากข้อจำกัดดังที่ได้กล่าวไป 
๕) แนวทางการแก้ไขปัญหา
  • เปลี่ยนวิธีคิดเกี่ยวกับขยะใหม่ 
    • เลิกปลูกฝังให้ทิ้งขยะ
    • เลิกไปยุ่งเกี่ยวและให้ความสำคัญกับ "ถังขยะ"  เมื่อมีสิ่งเหลือใช้ ต้องไม่คิดแต่จะ "ทิ้งลงถังและหวังไปทิ้งบ้านคนอื่น"
    • ให้ความหมายของขยะใหม่ แยกประเภทของขยะแบบใหม่ (อ่านละเอียดที่นี่
      • ขยะคือ สิ่งที่หาประโยชน์อะไรไม่ได้ รีไซเคิลก็ไม่ได้ 
      • วัสดุอินทรีย์ ไม่ใช่ขยะ  เช่น เศษอาหาร เศษพืช ต้นไม้ อะไรที่ย่อยสลายได้ภายในเวลาไม่นาน เหล่านี้นำไปทำปุ๋ยได้ 
      • วัสดุรีไซเคิล ไม่ใช่ขยะ เช่น พลาสติกทุกชนิด โฟม ทุกอย่างนำไปรีไซเคิลได้หมด 
    • แบ่งประเภทของขยะใหม่ ไม่ใช่ ขยะอินทรีย์ ขยะรีไซเคิล ขยะทั่วไป และขยะอันตราย แต่แบ่งใหม่ มีเพียง ๓ ประเภท ได้แก่ 
      • ขยะฝังกลบ ทุกอย่างที่ เอาไปใช้ไม่ได้อีกแล้วแน่ ไม่มีประโยชน์ รีไซเคิลก็ไม่ได้ 
      • ขยะมีพิษ เช่น แบตเตอรี่ หลอดไฟ กระป๋องยาฆ่าแมลง ฯลฯ
      • ขยะติดเชื้อ เช่น ผ้าอนามัย ผ้าพันแผล ฯลฯ 
  • ทุกคนต้องคัดแยกขยะด้วยตนเอง
    • เริ่มจากนิสิตที่ลงทะเบียนเรียนรายวิชาฯ 
    • ด้วยการกำหนดกิจกรรมเสริมหลักสูตรของรายวิชาฯ ให้ทำบัญชีจัดการขยะรายสัปดาห์ ติดต่อกันเป็นเวลา ๓ เดือน (๑๒ สัปดาห์) ด้วยกลไกการให้คะแนนฝึกวินัยเพื่อสังคมและชุมชน
  • ส่งเสริมและสนับสนุนให้ทำโครงงานหรือโครงการเพื่อจัดการขยะ เช่น 
    • แต่ละหลักสูตรใช้ความรู้ความเชี่ยวชาญ นำหลักวิชาการและวิทยาการต่าง ๆ มาจัดการขยะอย่างยั่งยืน 
    • สร้างกระบวนการมีส่วนร่วมกับชุมชนและสังคมเพื่อร่วมกันจัดการขยะอย่างยั่งยืน 
    • กำหนดหัวเรื่อง "ขยะ" เป็นวาระสำคัญในการทำงานหุ้นส่วนกับสังคมและชุมชน 
    • นิสิตแต่ละกลุ่มทำโครงงาน นำเสนอแนวทางที่สร้างสรรค์ในการจัดการขยะ และลดปริมาณขยะ
    • ฯลฯ
  • ร่วมมือกับชุมชนและสังคม ๕ ภาคส่วน ขยายผลสู่คนอื่น เพื่อทำงานจัดการขยะร่วมกันอย่างเป็นระบบและบูรณาการกัน 
    • มหาวิทยาลัย คือ นิสิตและบุคลากร
    • หน่วยงานของรัฐ ทั้งระดับประเทศ ระดับจังหวัด และระดับท้องถิ่น โดยเฉพาะเทสบาลตำบลขามเรียงและเทศบาลตำบลท่าขอนยาง
    • ภาคประชาสังคม ... เครือข่ายฮักแพง เมิ่งแงง คนมหาสารคาม และกลุ่มสมัชชาสุขภาพมหาสารคาม รวมถึงองค์กรทางศาสนาโดยเฉพาะวัด ฯลฯ 
    • ภาคเอกชน เช่น บริษัท ห้างร้าน ร้านค้าต่าง ๆ ฯลฯ 
    • ภาคสื่อสารมวลชน  
๕) ทำอย่างต่อเนื่องหลายปี 

ทำต่อเนื่องกระบวนการนี้ครบ ๔ ปี ต่อเนื่อง จะบรรลุผล ชุมชนมหาวิทยลัยมหาสารคาม จะเป็นต้นแบบของชุมชนมหาวิทยาลัยในการจัดการขยะ 


วิธีสอนเรื่อง "เมืองไทยยุคใหม่ไร้ขยะ" แบบ Active Learning โดย ดร.ไพบูลย์ โพธ์สุวรรณ

วันที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๖๑ ทีมอาจารย์ผู้สอนรายวิชา ๐๐๓๕๐๐๑ หนึ่งหลักสูตรหนึ่งชุมชน เชิญ ดร.ไพบูลย์ โพธิ์สุวรรณ มาบรรยายพิเศษเรื่อง "มิติใหม่ชุมชนไทยไร้ถัง" จากวิทยาลัยพัฒนาการปกครองท้องถิ่น สถาบันพระปกเกล้า... ผมติดภารกิจสำคัญ จึงมอบหมายให้เสืออัดเสียงไว้ให้ฟัง ผมมาสืบค้นต่อ พบว่านี่แหละคือวิธีการสอนที่ผมต้องทำให้ได้ ... จึงถอดบทเรียนมาเพื่อให้ตนเองเข้าใจ และทดลองนำไปใช้ต่อไป

๑. เริ่มด้วยการตั้งคำถาม ให้เขียนคำตอบของตนลงในกระดาษ

ท่านตั้งถามให้นิสิตเขียนคำตอบของตนเองลงในกระดาษ โดยให้เวลาค่อย ๆ เขียนไปพร้อม ๆ กันทั้งห้อง ด้วย ๙ คำถาม ดังต่อไปนี้ 
  • ขยะคืออะไร
  • วิธีการจัดการขยะของเราทำอย่างไร
  • ขยะมีกี่ประเภท
  • เพลงที่เกี่ยวข้องกับขยะ เรารู้จักเพลงอะไร
  • ตั้งแต่เกิดมา เราถูกสอนให้ทิ้งลงที่ไหน
  • เราคาดว่าใครจะมาเก็บให้ 
  • ค่าธรรมเนียมในการจัดเก็บแพงไหม
  • ที่ที่เขาเอาขยะไปทิ้ง มันอยู่ตรงไหน รู้จักไหม
  • รู้หรือไม่ว่าค่าจัดการหรือค่ากำจัดขยะประมาณตันละหรือกิโลกรัมละเท่าไหร่ 
ท้ายสุดของกิจกรรมคือให้บรรยายสรุป เล่าเรื่องให้นิสิตเห็นความรุนแรงของปัญหาขยะ ความสำคัญของการจัดการขยะ และความจำเป็นที่ตนเองต้องลงมือคัดแยกขยะ โดยใช้การเล่าเรื่องที่มีข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริง

ผมสืบค้นพบว่า ข้อมูลที่น่าสนใจได้รวบรวมไว้ใน "รายงานสถานการณ์ขยะมูลฝอยชุมชนของประเทศไทย ปี พ.ศ. ๒๕๕๙ ดาวน์โหลดได้ที่นี่  ข้อมูลที่น่าสนใจ มีดังนี้

  • ปริมาณขยะของชุมชนในไทยกำลังเพิ่มขึ้น ๆ  ดังตาราง   สังเกตว่า อัตราการก่อขยะต่อคนต่อวันเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จาก ๑.๐๓ กิโลกรัม ในปี ๒๕๕๑ เป็น ๑.๑๔ กิโลกรัม ในปี ๒๕๕๙
  • ชุมชนก่อขยะถึงปีละ ๒๗ ล้านตัน 
  • ประมาณนี้ (๒๗ ลต.) เป็นขยะจากเทศบาลต่าง ๆ ที่อัตราการก่อขยะต่อคนไม่เท่ากัน สังเกตว่า ยิ่งเจริญมาก ยิ่งมีคนไปอยู่มาก ยิ่งก่อขยะมาก เมืองพัทยาก่อขยะมากกว่าปกติถึง ๔ เท่า ... ยิ่งเจริญยิ่งเสื่อม 
  • ปริมาณขยะจากชุมชนส่วนใหญ่ ไม่สามารถจัดการได้ กลายเป็นขยะตกค้างจำนวนมากกว่าร้อยละ ๕๐

๒. ระดมสาเหตุปัญหา
  • เราถูกปลูกฝังให้ "ทิ้ง"ขยะลงถัง มาตั้งแต่ยังเด็ก ๆ ทำให้คนไทยมีขยะในถังเต็มไปหมด เพราะต่างคนต่างทิ้งลงถัง 
  • เราไม่ได้คิดว่า "ทำอย่างไรจะไม่ให้เกิดขยะ" เรามักจะคิดว่า "ทำอย่างไรจะไม่ให้ขยะกระจัดกระจาย" คิดแค่ว่าจะทำอย่างให้มันเรียบร้อย 
  • ทำให้วิธีแก้ปัญหาส่วนใหญ่คือ "การจัดหาถัง" เมื่อจำนวนถึงมากขึ้น จำนวนขยะก็มากขึ้น
๓. เงื่อนไขการเรียน
  • ต่อไปนี้เราจะไม่สร้างทางตัน แต่เราจะหาทางออก
  • เราจะไม่เป็น "นักโทษ" และเราจะเป็น "นักทำ" 
  • เราจะไม่สมมติ แต่จะใช้ข้อเท็จจริง
  • พึ่งตนเองให้ได้ เป็นผู้อธิบาย มากกว่าเป็นผู้ถาม
๔. บรรยายพิเศษ
  • ความหมายของขยะ
    • ขยะคือสิ่งที่หากประโยชน์อะไรไม่ได้ 
  • ขยะอาจารย์แบ่งออกเป็นยุค ๆ ตามแนวคิดประเทศไทย ๔.๐ ได้เป็น 
    • ยุค ๑.๐  ยุคใบตอง
    • ยุค ๒.๐  ยุคกระดาษ 
    • ยุค ๓.๐  ยุคถุงพลาสติก (ปริโตรเคมี) 
    • ยุค ๔.๐  ยุคอิเล็คทรอนิกส์
  • ขยะหลัก ๆ ของเรา เกิดจากบรรจุภัณฑ์นั่นเอง 
    • ช้อนพลาสติกอยู่ได้นานกว่าช้อนเหล็ก คืออยู่ได้เป็นพันปี 
    • ถุงพลาสติกอยู่ได้ ๔๕๐ ปี 
    • โฟมอยู่ได้ ๑๐,๐๐๐ ปี 
  • วิธีการจัดการหรือกำจัดขยะเขาทำอย่างไรบ้าง 
    • หลุมฝังกลบ ...  เอาไว้ใช้สำหรับสิ่งที่เราใช้ไม่ได้อีกแล้ว 
    • โรงงานจัดการสิ่งที่เป็นพิษ 
    • โรงงานเผาขยะติดเชื้อ 
  • การแยกขยะในปัจจุบันจะแบ่งเป็น ๔ ชนิดคือ 
    • ขยะเปียก
    • ขยะรีไซเคิล
    • ขยะทั่วไป 
    • ขยะอันตราย 
  • จะเห็นว่า วิธีจัดการขยะที่มีอยู่ ไม่สอดคล้องกับวิธีจัดการขยะที่เรามี
  • ดังนั้นขยะต้องเปลี่ยนวิธีแยกใหม่เป็น 
    • ขยะที่ใช้ไม่ได้อีกแล้ว
    • ขยะมีพิษ ได้แก่  แบตเตอรี่ หลอดไฟ กระป๋องยาฆ่าแมลง กระป๋องสีสเปรย์ ฯลฯ
    • ขยะติดเชื้อ ได้แก่ ผ้าอนามัย พลาสเตอร์ติดแผล ยา ฯลฯ
  • ปัญหาขยะแท้จริงแล้ว คือ การเอาสิ่งที่ไม่ใช่ขยะ เอาไปไว้ผิดที่... ถ้าเราเอาถุงพลาสติกจากกองขยะออกได้ ทุกอย่างจบ 
    • พลาสติกทุกชนิดเป็นวัสดุรีไซเคิล พลาสติกไม่ใช่ขยะ... จัดการให้จบตั้งแต่ที่บ้าน 
    • เศษอาหาร คืิอวัสดุอินทรีย์ ไม่ใช่ขยะ เอา่ไปเลี้ยงสัตว์ เอาไปทำปุ๋ย ไปทำก๊าซ ฯลฯ
    • ขยะมีพิษและติดเชื้อมีคนมาเก็บไปสู่โรงจัดการที่มีอยู่
  • ดังนั้น เมื่อแทบจะไม่มีขยะ จึงไม่ต้องมีถัง ... "มิติใหม่ชุมชนไทยไร้ถัง" 
๕. สาธิตการวิเคราะห์และจัดการขยะ

เตรียมถังขยะจริง ๆ มาแล้วคัดแยกและจัดการขยะให้ดูทีละชิ้นทีละชิ้น ๆ  เริ่มจากการชั่งก่อน 
  • ถุงพลาสติก ใช้ได้อีก ไม่ใช่ขยะ เป็นวัสดุรีไซเคิล 
  • โฟม ไม่ใช่ขยะ เป็นวัสดุรีไซเคิล 
  • เศษอาหาร ไม่ใช่ขยะ เป็นวัสดุอินทรีย์ 
  • ขวดน้ำพลาสติก ขายได้ 
  • ขวดนมเปรี้ยว ขายได้ 
  • สังกะสี ขายได้ 
  • แบตเตอรี่มอเตอร์ไซด์ ขายได้ 
  • กระป๋องโคก ขายได้ 
  • กล่องนมขายได้ 
  • ฯลฯ 
สุดท้ายจะเหลือเฉพาะส่วนที่เป็นพิษและติดเชื้อเท่านั้น ซึ่งจะมีจำนวนไม่มาก  จะเหลือสองส่วนนี้เพียงร้อยละ ๕ เท่านั้น เช่น 
  • ผ้าอนามัย ให้ใช้กระดาษห่อ รวมรวมไว้ให้มิดชิด เพื่อให้รถขยะนำไปส่งโรงพยาบาล 
โดยสรุปคือ "อย่าทิ้งลงถัง อย่าหวังไปทิ้งบ้านคนอื่น" 

ความรู้ที่ประทับใจและจำนำไปใช้และเล่าต่อ
  • ขยะมีเพียง ๓ ประเภท คือ ขยะที่นำไปใช้อีกไม่ได้ ขยะมีพิษ และขยะติดเชื้อ นอกนั้นไม่ใช่ขยะ 
  • "อย่าทิ้งลงถัง อย่าหวังเอาไปทิ้งบ้านคนอื่น"
  • ถุงพลาสติกอยู่ได้ ๔๕๐ ปี ถึงจะย่อยสลาย   หากเอาไฟเผาจะได้สารก่อมะเร็ง
  • ถุงพลาสติก ๒,๐๐๐ ถุง ถ้าล้างสะอาด ตากให้แห้ง เอาไปขายจะได้ ๑ บาท
  • โฟมอยู่ได้ ๑๐,๐๐๐ ปี มีสารก่อมะเร็ง หากเอาไฟเผาจะได้สารก่อมะเร็ง
  • กระดาษ ๑ ตัน ต้องใช้ต้นไม้ ๑๗ ต้น 
  • กระดาษกับใบตอง กระดาษเปื่อยง่ายกว่า
เปิดกะโหลกเลยครับอาจารย์สำหรับผม ขออนุญาตเรียนแบบ "ครูพักลักจำ" นำไปใช้เลยนะครับ 


วันอังคารที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

"การเกษตรยั่งยืน" สู่ เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs)

วันที่ ๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ ผมถูกหนีบไปเรียนรู้เรื่องเกษตรยั่งยืน ในการประชุมภาคประชาสังคมที่จัดโดยเครือข่าย "ฮักแพง เมิ่งแงง คนมหาสารคาม" (เรียกสั้น ๆ ว่า สภาฮักแพง) ต้องขอขอบพระคุณท่านอาจารย์ธวัช ชินราศรี มากๆ ครับ ผมได้เรียนรู้เกี่ยวกับการเกษตรยั่งยืน ได้รู้จัก "ฅนเกษตรยั้งยืน" ในเขตพื้นที่จังหวัดมหาสารคามมากกว่าอ่านหนังสือหลายเล่ม...  ผมจับประเด็นสำคัญ ๆ เพื่อทำให้ตนเองเข้าใจลึกมากขึ้น และฝากไว้ให้ผู้สนใจและเครือข่ายเรื่องนี้ในพื้นที่ต่อไป

วิทยากรสำคัญที่มาวันนี้คือ ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ คือ อ.ธีระ วงษ์เจริญ ในอดีตท่านเคยรับใช้ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ที่ ศูนย์การเรียนรู้คุ้งกระเบน



ท่านบรรยายโดยการเล่าเรื่องสลับตัวอย่าง จึงฟังไม่เบื่อ ใช้สไลด์เพียง ๒ อัน และความจดจำอันดีเยี่ยมจนได้รับคำชมจากพี่น้องที่เข้าร่วมหลายคน


เริ่มด้วยความร่วมมือ
  • ท่านเริ่มด้วย การเชื่อมโยงการเกษตรยั่งยืนกับเป้าหมายของการพัฒนาโลก คือ เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs: Sustainable Development Goals) เป้าหมายที่ ๒ คือการลดความอดอยากและสร้างความมั่นคงทางอาหาร (ท่านใดยังไม่รู้อ่านได้ที่นี่ครับ) (ในช่วงปี ๒๕๕๙-๒๕๗๒) ซึ่งวันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๕๘ นายกรัฐมนตรีของไทยได้ไปลงนามความาร่วมมือกับนานาชาติแล้ว 
  • ในครั้งนั้น สมเด็จพระเทพฯ ได้ส่งการปาฐกถาพิเศษส่งไปร่วมการประชุม ทรงบอกว่า เราต้องหยุดความหิวโหย ... นี่คือที่มาสำคัญประการหนึ่ง
  • การขับเคลื่อนของรัฐบาลโดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ดังนี้ครับ 
    • ได้สร้างข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ระหว่างกับหน่วยงานต่อไปนี้ทั้งหมด
      • กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ .. ผู้รับผิดชอบโดยตรง ผู้ขับเคลื่อน
      • กระทรวงมหาดไทย ... ผู้ว่าราชการจังหวัดเอาด้วย
      • กระทรวงสาธารณสุข ... โรงพยาบาลจะรับผักปลอดสารพิษไปใช้ทำอาหาร
      • กระทรวงทรัยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ... ถ้าจะทำในพื้นที่ ๆ ไม่มีโฉนด มีปัญหาเรื่องเอกสารสิทธิ์ หากจะทำต้องใช้ได้ความร่วมมือจากกระทรวงทรัพย์ฯ ใช้มาตรา ๑๙ ของอุทยานแห่งชาติ คือใช้ในลักษณะของการทำวิจัยร่วมกัน
      • กระทรวงพัฒนาสังคมและวัฒนธรรม ... ภาคประชาสังคม พัฒนาชุมชน และวัฒนธรรม ภูมิปัญญา
      • กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ... (จำไม่ได้ว่าเกี่ยวอย่างไร)
      • กระทรวงศึกษาธิการ ... ทุกโรงเรียนต้องปลูกฝังตั้งแต่เด็ก จนถึงระดับมหาวิทยาลัย อย่างจริงจัง 
    • โดยลงนามความร่วมมือ ๔ ภาค  ๑๓ กลุ่มจังหวัด รวมแล้ว ๕๖ จังหวัด และ ๒๘ จังหวัดนำร่อง ระหว่างกระทรวงเกษตรฯ และกระทรวงมหาดไทย ... จากนั้นกระทรวงต่าง ๆ ก็เริ่มเข้ามาทำ MOU ร่วมด้วย
      • จังหวัดพัทลุง ประกาศว่าจะทำเกษตรอินทรีย์ ๑,๓๐๐,๐๐๐ ไร่ ภายในปี ๒๕๖๔
      • จังหวัดสกลนคร ประกาศ ๑,๐๐๐,๐๐๐ ไร่ เน้นเรื่องข้าว ภายในปี ๒๕๖๔
      • ฯลฯ
    • เกษตรกรรมยั่งยืนมีทั้งหมด ๖ รูปแบบ ได้แก่
      • เกษตรอินทรีย์ ๕๖ จังหวัด 
      • เกษตรกรรมยั่งยืน ๒๘ จังหวัด 
      • วนเกษตร
      • เกษตรผสมผสาน
      • เกษตรทฤษฎีใหม่
      • เกษตรอินทรีย์แบบอื่นๆ เช่น พุทธเกษตร ฯลฯ
        • พบว่า ดอยอินทรีย์ ที่เชียงราย มีพุทธเกษตรถึง ๘ พันกว่าไร่ 
    • เหตุที่ต้องทำ MOU คือ ต้องการให้สามารถทำงานข้ามกระทรวง สามารถสั่งงานข้ามกระทรวงโดยใช้มาตรา ๔๐ ได้เลย 
    • กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ตั้งเป้าว่า จะสร้างการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ หรือนววิถี ให้ได้ ๓ เท่า
    • กระทรวงสาธารณสุข บอกว่า ต่อไปจะรับเฉพาะอาหารอินทรีย์เท่านั้น ไม่เอา GAP (มาตรฐานอาหารไม่ใช้ยาฆ่าแมลงแต่ยังใช้สารเคมี)
กลไกในการขับเคลื่อน
  • กลไกของการขับเคลื่อนเรียกง่าย ๆ ว่า กลไก ๓ ๕ ๗ ได้แก่
    • ๓ กลไกระดับนโยบาย ได้แก่ 
      • ระดับชาติ คือกำหนดเป็นนโยบาย การขับเคลื่อนเกษตรกรรมยั่งยืนเป็นร่มใหญ่
      • ระดับจังหวัด คือ แปลงนโยบายสู่การปฏิบัติ 
      • ระดับพื้นที่ ต้องกำหนดเป้าหมายความสำเร็จที่ชัดเจน 
    • ๕ กลไกการขับเคลื่อน ได้แก่
      • ประสานงาน
      • แผนบูรณาการและยุทธศาสตร์ 
      • การจัดการความรู้
      • ติดตาม เยี่ยมเยือน ให้กำลังใจ 
      • สื่อสารทางสังคมสู่สาธารณะ
    • ๗ กลไก ภาคส่วนที่มาทำงานร่วมกัน โดยใช้พื้นที่เป็นตัวตั้ง 
      • ภาครัฐ (หน่วยงานภายใต้การ MOU)
      • ภาควิชาการ ได้แก่ มหาวิทยาลัย ต้องหันมาสร้างงานวิจัยเพื่อชุมชนและสังคม (ไม่ใช่วิจัยขึ้นหิ้ง)
      • ภาคประชาชน/ภาคีเครือข่ายเกษตรอินทรีย์
      • ภาคเอกชน/สนับสนุนด้วยใจเป็นธรรม เช่น CSR บริษัทประชารัฐ ฯลฯ
        • ท่านบอกว่า กำลังจะไปคุยกับโรงงานน้ำตาลที่ยโสธร จะเจรจาให้มาทำอ้อยอินทรีย์  
      • ภาคประชาสังคม/มูลนิธิ/สมาคม
      • ภาคการศึกษา/ศาสนา/ความเชื่อ
      • ภาคสื่อสารมวลชนสู่สาธารณะ 
วิธีการขับเคลื่อน
  • เริ่มจากการกำหนดพื้นที่เป้าหมาย ใช้พื้นที่เป็นตัวตั้ง เล็ก ๆ แคบ ๆ ชัด ๆ (Area Approach)  หน่วยงานทุกหน่วยงานมุ่งไปที่พื้นที่เดียวกัน  เช่น 
    • ปีนี้อาจจะกำหนดไปที่ อ.บรบือ มีงบขุดบ่อสัก ๒๕๐ บ่อ ...แบบนี้จะเห็นเป็นรูปธรรมืทันที  ปีนี้ที่นี้ ปีหน้าก็ไปที่อำเภออื่น  เป็นต้น 
  • ต่อไปคือ สร้างความเข้าใจให้คน  พัฒนาคน เปลี่ยนวิธีคิดของคน โดย 
    • หน่วยงานของรัฐต้องมาคุยกันเสียก่อนว่า จะทำอย่างไร จะเริ่มอย่างไร เห็นตรงกันชัด แล้วค่อยเริ่ม 
  • ค้นหาต้นแบบ (Best Practice) เอาต้นแบบที่มีเข้ามาเป็นตัวอย่าง แล้วอบรมคนที่จะเข้าร่วม  ที่ศูนย์กสิกรรมธรรมชาติอบรมโดยใช้เวลา ๔ วัน ๓ คืน เพื่อเปลี่ยนวิธีคิด  
      • ต้องมีต้นแบบของความสำเร็จ  ถ้าไม่มีต้นแบบความสำเร็จเขาไม่เชื่อ 
      • เอากลุ่มเป้าหมายแรกที่เป็นคนที่หัวไวใจสู้ก่อน  (ต้องไม่เอาที่สมัครใจแต่ไม่เอาจริง) ต้นแบบของความสำเร็จจะมาจากคนที่หัวไวใจสู้ 
  • สร้างกระบวนการรับรอง ที่จันทบุรีที่ท่านใช้คือระบบ PGS Organic (Participatory Garantee System) คือ "ชุมชนรับรองโดยชุมชน" โดยคนที่จะเป็นกรรมการตรวจสอบได้จะต้องมีประสบการณ์ทำเกษตรอินทรีย์ยอย่างน้อย ๕ ปี 
  • เริ่มผลิตเพื่อกินใช้ในครัวเรือนก่อนจะขยายผลผลิตตามทฤษฎีบันได ๙ ขั้น (อ่านที่นี่)
  • สร้างตลาดสีเขียวขึ้นรองรอง (Gree Market) จะเริ่มจากหน่วยงานของรัฐก่อน ได้แก่ โรงพยาบาล โรงเรียน โรงแรม มหาวิทยลัย 
  • สร้างเครื่อข่ายกับส่วนต่างๆ ทั้งด้านวัฒนธรรม ชุมชน สังคม ทุน ฯลฯ  


เป้าหมายของการขับเคลื่อนภายในปี ๒๕๖๔
  • กำหนดเป้าหมาย ๕,๐๐๐,๐๐๐ ไร่ 
  • ขณะนี้ มีเกษตรอินทรีย์แล้ว ๓,๓๐๐,๐๐๐ ล้านไร่ และร่วมส่วนอื่นๆ แล้ว คร่าว ๆ น่าจะมีแผนในการขับเคลื่อนแล้วกว่า ๗ ล้านไร่ 
  • มหาสารคามมีพื้นที่ทั้งหมด ๒,๐๐๐,๐๐๐ ล้านไร่  ตั้งป้าหมายไว้ที่ ๒๕,๐๐๐ ไร่ 
ความรู้รอบตัว


  • จีนประกาศแล้วว่า ปี 2020 อาหารในจีนจะเป็นอาหารสะอาด ปลอดภัย  ลำใยอบกัมมะถันที่เราทำ นำเข้าจีนไม่ได้แล้ว
  • รัฐกำลังแย่แล้ว อีก ๕ ปี ตังค์จะมาจ่ายเงินเดือนก็ลำบากแล้ว 
  • หยุดการขอ หรือรอการช่วยเหลือ  ให้พึ่งตนเอง ให้ลงมือทำด้วยตนเอง 




สมาชิกภาคประชาสังคมเครือข่ายสภา "ฮักแพง เมิ่งแงง คนมหาสารคาม" 

ผมขอบันทึกไว้เป็นข้อมูลสำหรับการขับเคลื่อนต่อไป แบบที่ท่านจะไม่สะดวกนักในการอ่าน และไม่ได้ขออนุญาตเป็นรายบุคคลในการเผยแพร่ด้วย (ขออนุญาตเจ้าหน้าที่เครือข่างผู้จัดงาน) การจัดเก็บตรงนี้มีข้อดีคือแม้ผ่านไปหลายปี ผมจะสืบค้นข้อมูลนี้กลับมาได้ง่ายมาก เพื่อประโยชน์ในการทำงานขับเคลื่อนต่อไปครับ










สรุปสั้นที่สุด 

  • ที่ปรึกษา รมช.เกษตรฯ อ.ธีระ วงษ์เจริญ มาบอกชัดเจนว่า 
    • ระดับรัฐเขากำหนดนโยบายอย่างไร 
    • ระดับจังหวัด ผู้ว่ากับคนระดับกระทรวงและหน่วยงานเป็นคนกำหนด  และมีตัวอย่างชัดแล้ว ท่านเสนอแนวปฏิบัติชัดมากๆ ว่าจะต้องทำอย่างไร 
    • ระดับพื้นที่ หากศึกษาแนวทางของสถาบันเศรษฐกิจพอเพียง (ศูนย์กสิกรรมธรรมชาติ) จะเข้าใจทันทีเช่นกันว่า ท่านแนะนำอย่างไร 
  • แต่ในช่วงของการแลกเปลี่ยนเรียนรู้... เราคุยกันมากมาย เสนอแนวทางกันอ้อมไปมา... ผมจึงเสนอว่า เราก็แค่ทำตามแนวทางที่ท่านทำสำเร็จนั่นเแหละครับ 



วันจันทร์ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

การจัดการขยะของเทศบาลขามเรียง

วันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๖๑ ผมและทีมผู้ประสานงานรายวิชา ๐๐๓๕๐๐๑ หนึ่งหลักสูตรหนึ่งชุมชน ขอเข้าพบเพื่อเรียนรู้จาก จ.อ.บัวทอง หาญสุโพธิ์ ปลัดเทศบาลขามเรียง ขณะนี้ท่านปฏิบัติหน้าที่นายกเทศมนตรีเทศบาลขามเรียง  เราได้รับการตอนรับอย่างอบอุ่นและให้เกียรติมาก ๆ ...  ขอขอบพระคุณท่านมากที่ให้ข้อมูลการจัดการขยะและยังจะสนับสนุนแนวทางการรณรงค์ให้แยกขยะในมหาวิทยาลัย นี่คือความสุขที่ได้จากการทำงานเพื่อนชุมชน เพราะเราเจอแต่คนที่หวังดีต่อกันและกัน

ข้อมูลเบื้องต้นของเทศบาลขามเรียง

จากการสืบค้นข้อมูลทุติยภูมิทางเว็บไซต์ พบข้อมูลที่เผยแพร่อย่างเปิดเผย โปร่งใสดีครับ ผมจับเอาเฉพาะข้อมูลที่อาจเกี่ยวข้องกับการศึกษาชุมชนของนิสิต มมส. ในบริบทของรายวิชาฯ มาไว้ดังนี้ครับ
  • เทศบาลขามเรียง มีประชากรทั้งหมดประมาณ ๑๕,๐๐๐ กว่าคน เป็นผู้หญิง ๙,๐๐๐ ผู้ชาย ๖,๐๐๐ คน  เทศบาลได้เผยแพร่แผนพัฒนา ๔ ปี (๒๕๖๑-๒๕๖๔) ทางเว็บไซต์ ผมคัดลอกมาไว้เฉพาะตารางประชากร คลิกที่นี่ครับ
  • ข้อมูลที่น่าสนใจแสดงดังตารางด้านล่างครับ  จำนวนประชากรส่วนใหญ่ อยู่ในช่วงวัย ๑๘ - ๖๐ ปี ถึงกว่าร้อยละ ๘๐  ที่เป็นเช่นนี้ เพราะมหาวิทยลัยตั้งอยู่ในเขตพื้นที่เทศบาลขามเรียง ดังนั้นจำนวนประชากรจึงรวมถึงนิสิตทุกคนที่ย้ายทะเบียนบ้านเข้ามาอยู่ในหอพักของมหาวิทยาลัยด้วย 

ช่วงอายุและจำนวนประชากร
ชาย
หญิง
หมายเหตุ
จำนวนประชากร/เยาวชน
๑,๐๔๙
๑,๑๗๘
(อายุต่ำกว่า ๑๘ ปี)
จำนวนประชากร
๕,๐๐๐
๘,๓๗๙
(อายุ ๑๘ – ๖๐ ปี)
จำนวนประชากรผู้สูงอายุ
๔๙๙
๖๕๓
(อายุมากกว่า ๖๐ปี)
รวม
๖,๕๔๘
๑๐,๒๑๐
ทั้งสิ้น ๑๖,๗๕๘


  • เทศบาลขามเรียงมีทั้งหมด ๒๑ หมู่บ้าน ดังแผนที่นี้ 


  • สังเกตว่า มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ตั้งอยู่บนพื้นที่รอยต่อระหว่างตำบลขามเรียงและตำบลท่าขอนยาง นิสิตจำนวนมากอาศัยอยู่ทั้งในเขตพื้นที่ของสองเทศบาลในลักษณะของประชากรแฝง  ถ้าคำนวณง่ายๆ เรารู้ว่าประชากรแฝงที่เป็นนิสิตและบุคลากรในมหาวิทยาลัยรวมแล้วประมาณ ๕๐,๐๐๐ คน  ประชากรแฝงของเทศบาลท่าขอนยางมีประมาณ ๓๐,๐๐๐ คน แสดงว่าที่เหลืออยู่ ๒๐,๐๐๐ คน  เป็นประชากรแฝงของเทศบาลขามเรียง นั่นแสดงว่า มีประชากรแฝงที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนราษฎร์จำนวนกว่า ๑๐,๐๐๐ คน.... น่าเสียดายที่ประชากรแฝงเหล่านี้ไม่ย้ายทะเบียนราษฎร์เข้ามา โดยเฉพาะในเขตเทศบาลท่าขอนยาง
การจัดการขยะของเทศบาลขามเรียง
  • ขณะนี้ (พ.ย. ๖๑) เทศบาลขามเรียง มีระบบการคัดแยกขยะอินทรีย์แยกจากขยะอนันทรีย์อย่างชัดเจน โดยใช้คำแยกง่าย ๆ ว่า "ขยะเปียก" และ "ขยะแห้ง" ... นี่น่าจะเป็นคำตอบว่า ปริมาณขยะจากขามเรียงที่ไปทิ้งที่บ่อหนองปลิงประมาณวันละ ๕ ตัน 
  • วิธีการแยก "ขยะเปียก" มี ๒ แนวทาง ได้แก่ 
    • ขยะเปียกจากบ้านเรือน ครัวเรือนใจชุมชน ในหมู่บ้านพื้นที่รอบมหาวิทยาลัย  เทศบาลได้ส่งเสริมให้ทำปุ๋ยด้วยหมักด้วยการทิ้งลงในถังดำก้นกลวงปิดฝา โดยสนับสนุนถังดำที่มีฝาปิดสนิทขนาด  ๑๐๐ ลิตร 
      • จากการลงพื้นที่สอบถาม เทศบาลเริ่มจากกลุ่มตัวแทนชาวบ้านส่วนหนึ่งก่อน ตอนนี้ได้จัดอบรมให้ความรู้ไปแล้ว  
      • ครัวเรือนหนึ่งที่ผมได้ไปเยี่ยมสัมภาษณ์ บอกว่า  เศษอาหารจากครัวเรือนของตน เพียงแค่เอามาเลี้ยงไก่ก็ไม่พอแล้ว จึงไม่มีเศษอาหารเหลือที่จะทิ้งลงถัง 
      • จากการสอบถาม สอง-สาม ครัวเรือน พอจะสรุปได้ว่า ปัญหาเรื่องขยะเปียกไม่ได้มาจากครัวเรือน 

    • ขยะเปียกจากร้านอาหารหรือหอพัก  ทุก ๆ วัน จะมีรถเก็บขยะเปียกตระเวนเก็บขยะเปียกจากถังหน้าร้านค้าหรือจุดนัดหมายที่แต่ละหอพักที่แม่บ้านแต่ละหอพักทราบดี นำไปขุดหลุดดินฝังกลบ ณ พื้นที่ที่กำหนด 
      • ถังที่ใช้เก็บเศษอาหารจากหน้าร้านจะเป็นพังขนาดกลางดังรูป มีฝาปิดมิดชิด และทางเทศบาลจะใส่น้ำหมักอีเอ็มรองก้นไว้ จึงทำให้ไม่มีกลิ่นเหม็น
 (เห็นไหมครับ ถังอยู่ใต้ต้นมะยมนั่นไง ดูสภาพก็จะประเมินได้ว่าใช้มาหลายเดือนหลายปีเลยครับ)
      • ขยะเปียกในแต่ละวันจะได้ประมาณ ๓-๔ ถังขนาด ๒๐๐ ลิตร (น่าจะประมาณ ๑ ตัน)
      • พื้นที่ฝังกลบอยู่ห่างไปทางทิศเหนือของที่ทำการฯ ประมาณ ๔ กิโลเมตร เป็นพื้นที่โนนขนาด ๓ ไร่ ... ผมตามไปดูและได้สัมภาษณ์คุณตาที่ดูแลอยู่แถวนั้นมาฝากท่านด้วยครับ 
(สังเกตว่า แทบจะมองไม่ออกว่าเป็นพื้นที่ฝังกลบขยะ ขยะจะกลายเป็นปุ๋ยภายในเวลาประมาณ ๔-๖ เดือน)



ความเห็นท่านปลัดเกี่ยวกับแผนการส่งเสริมการแยกขยะของรายวิชาหนึ่งหลักสูตรหนึ่งชุมชน

ผมแจ้งท่านปลัดบัวทอง และเล่าให้ท่านฟังว่า 
  • การเข้าพบท่านเพื่อที่จะมาศึกษาหาความเป็นไปได้ในการจัดการขยะร่วมกัน บูรณาการกัน ด้วยเราตระหนักดีว่า ผู้ที่ทิ้งขยะส่วนใหญ่ไม่ใช่ใคร ก็คือนิสิตและบุคลากรของมหาวิทยาลัยเข้าไปมีส่วนไม่มากก็น้อย ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม ทั้งกับร้านค้า อาหาร และกิจการหอพัก  
  • ปีการศึกษาหน้าจะมีนิสิตลงทะเบียนเรียนรายวิชา ๐๐๓๕๐๐๑ หนึ่งหลักสูตรหนึ่งชุมชนประมาณ ๗,๐๐๐ คน ... ทีมเรากำลังเตรียมข้อมูลเรื่องปัญหาขยะและการจัดการขยะในพื้นที่รอบๆ มหาวิทยาลัย เพื่อนำเสนอให้อาจารย์ผู้สอนฟัง และจะขอความร่วมมือให้ร่วมกันกำหนดมาตรการหรือวิธีการ หรือกลไกในรายวิชา เพื่อส่งเสริมให้นิสิตคัดแยกขยะ และช่วยกันขับเคลื่อนเรื่องการแก้ไขปัญหาขยะ 
  • ถ้าสมมตินิสิตเริ่มแยกขยะ ห้างร้านต่างๆ เริ่มแยกขยะ สิ่งที่เราต้องเตรียมก็คือ ต้องมีรถจากเทศบาลทั้งสองแห่งไปไปเก็บขยะเปียกในตอนเช้าตามจุดที่กำหนด นำไปฝังกลบ และจัดทำตารางเวลาจัดเก็บขยะประเภทอื่นๆ หรืออาจมีแนวคิดอื่นๆ จากอาจารย์ผู้สอน ผู้เชี่ยวชาญ 
ท่านเห็นด้วยอย่างยิ่งครับ และได้มอบเบอร์โทรศัพท์ให้ผมเพื่อติดต่อท่านโดยตรงด้วย และได้แนะนำให้พบกับท่าน ผอ.กองสาธารณสุขฯ  เสียดายที่ท่านไม่อยู่ที่ทำการฯ ขณะนั้น ... เดี๋ยวค่อยขอเข้าพบท่านอีกที 

หากท่านอาจารย์ผู้สอนเข้ามาอ่านถึงตรงนี้ ท่านมีความเห็นดีด้วยกับแนวทางนี้ไหมครับ